เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ก.ย. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อยู่ที่ไหนมันก็มีหัวใจ เห็นไหม ดูสิตั้งแต่เข้าพรรษามา ตอนนี้จะออกพรรษาแล้ว เวลามีเสบียงอาหารนะ เสบียงของเราตั้งแต่เราออกเดินทาง เราสะสมเสบียงไป เราใช้สอยเสบียงของเราไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง ปลายทาง เสบียงของเราจะร่อยหรอไปเรื่อยๆ เราจะเหนื่อยล้ามาก เราจะมีความทุกข์มาก นี่ระหว่างการเดินทาง

ศรัทธาความเชื่อ! ศรัทธาความเชื่อนะ เวลาเรามีความเชื่อนี่สดชื่นนะ เราจะบอกเลย เราจะปฏิบัติจนสิ้นสุดแห่งทุกข์ มีความเชื่อมั่นมาก ทำสิ่งใดแล้วก็ต้องสมความปรารถนา แต่คนเรามันไม่คิดไง เห็นไหม ลายนิ้วมือของคนไม่เหมือนกัน บุญกุศลของคนสร้างมาไม่เหมือนกัน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย กับ ๘ อสงไขยก็ต่างกัน ๑๖ อสงไขยก็ต่างไปอีก นี่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน สะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาทำประโยชน์โลกได้กว้างขวางแตกต่างกัน

ฉะนั้น ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม จิตใจของเรามันมีสิ่งใดที่มันได้สร้างมา สร้างเวรสร้างกรรมมา บุญก็ทำมา บาปก็ทำมา แต่สิ่งที่มันทำมานั้นคือทำมา แต่ในปัจจุบันนี้สิ เวลาทางวิทยาศาสตร์ ทางครูบาอาจารย์บอกว่าต้องพูดถึงปัจจุบันนี้ ถ้าพูดถึงอวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารปัจจยา วิญญาณัง พูดถึงอดีตชาติ มันต้องไปแก้อดีตชาติ นี่พอทำไปแล้วจะได้ผลอนาคตนะ พูดถึงนรกสวรรค์นี่เขียนเสือให้วัวกลัว หลอกกันให้คนอยู่ในศีลในธรรมนะ เพื่อคนที่คิดนอกกรอบมันจะได้ตักตวงผลประโยชน์ไง

นี่เวลาโลกเขาคิด เขาคิดกันอย่างนั้น เห็นไหม แต่เวลาบอกว่าสิ่งที่มามันต้องมีเหตุมีผลสิ ชีวิตนี้มาจากไหน? มนุษย์เกิดมาจากไหน? ตายแล้วไปไหน? เกิดมาแล้วอยู่ปัจจุบันนี้ทำสิ่งใด? นี่มันมีที่มาที่ไปไง ถ้ามีที่มาที่ไปนี่มันให้ผล มันให้ผลเวลาปฏิบัติ เวลาทุกข์เวลายาก เห็นไหม เวลาคนปฏิบัติง่าย คนปฏิบัติยาก

แม้แต่คนปฏิบัติง่าย ต่อไปข้างหน้ามันก็ไม่ง่ายตลอดไปหรอก คนปฏิบัติยาก แล้วมันจะยากอย่างนั้นตลอดไปไหม? เวลาเริ่มต้นมันก็ยากของมัน แต่เวลาทำของมันไป ถ้ามีความชำนาญของมัน มันทำของมันได้มันจะยากตลอดไปไหม? มันไม่ยากหรอกถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภพชาติของเรานะ เวลาเราเกิดมานี่ต้นทุนมา นี่ใครมาล่ะ? อายุกลางคน อายุผู้เฒ่า เห็นไหม เสบียงกรังเราหมดไปเรื่อยๆ นะ คนเรานี่อายุขัยเรา แล้วอายุขัยเราจะทำสิ่งใดต่อไป เราจะมีจุดยืนของเราขนาดไหน เราจะต้องเข้มแข็งกับเรา เราจะไม่ไหลไปตามโลกนะ ไหลไปตามโลกมันกินเวลาของเราไป วันคืนล่วงไปๆ ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามันไหลไปทางโลกแล้วเราจะอยู่จะกินอย่างไรล่ะ?

เราจะอยู่จะกินเราก็ทำหน้าที่การงานของเรา แต่หัวใจของเรา เห็นไหม มันอยู่ที่ไหนนะมันก็ตั้งสติได้ อยู่ที่ไหนมันก็กำหนดภาวนาได้ ถ้ามันภาวนาได้ งานอันนี้โลกเราก็ทำงานเราไป ใจของเรา เราก็มีจุดยืนของเราไป ถ้าเรามีจุดยืนของเราไป นี่ต้นทุนๆ ที่บอกว่าเสบียงกรังตั้งแต่เราเริ่มออกเดินทาง นี่เราเดินทางมา เห็นไหม ผลของวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลายมันมาจากไหนล่ะ?

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนไปบุพเพนิวาสานุสติญาณ เห็นไหม ไปไม่มีที่สิ้นสุด คำว่าไปไม่มีที่สิ้นสุดมันไปอย่างไรล่ะ? แล้วทางวิทยาศาสตร์เราบอกว่า แล้วจุดเริ่มต้นมันอยู่ที่ไหนล่ะ? จุดเริ่มต้นอยู่ที่ไหน? จุดเริ่มต้นมันสาวไปเรื่อยๆ นี่ไงกรรมถึงเป็นอจินไตย อจินไตยมันสาวไปไม่มีที่สิ้นสุด จิตนี้มันมาจากไหน?

นี่นักวิทยาศาสตร์บอกกี่ล้านๆ ปี ฟอสซิลนี่สิบๆ ล้านปี ๖๐ ล้านปี ๑๐๐ ล้านปี แต่ ๑๐๐ ล้านปี พูดถึงนะ พูดถึงเวลาชั่ว เห็นไหม ดูสิคนเราว่าอายุ ๑๐๐ ปีนี่อายุยืนมาก เวลาสัตว์มันอายุ ๗ วัน มันอายุ ๑๐ กว่าปี สุนัข ๑๐ กว่าปีเท่านั้นแหละ นี่มันก็ว่าอายุสั้น

เราเป็นมนุษย์นะ เราเลี้ยงสัตว์นะ เลี้ยงสุนัข นี่ถ้าชีวิตเราเลี้ยงสุนัขวงจรชีวิตมันต้องหลายรอบ แต่ของเราทำไมมันมากกว่าล่ะ? แต่! แต่พอพิจารณาถึงความรู้สึกสิ ๑ ชีวิต ๑ จิต พอเวลา ๑ จิตนะชีวิตมันก็มี.. เราจะบอกว่าสิ่งว่าฟอสซิลกี่ล้านๆ ปี ถ้าเป็นปัจจุบันนะอันเดียวกันไง อันเดียวกันคือเวลานี่ถ้าเรานับเฉยๆ เรานับให้มันมีตัวเลขขึ้นมาเฉยๆ

นี่ก็เหมือนกัน นี่บอกว่ามันจะเริ่มต้นที่ไหน? จิตนี้เริ่มต้นที่ไหน? ทุกคนจะถามมากเลยว่าจิตนี้เริ่มต้นที่ไหน? ที่มันมาเป็นเรานี่เริ่มต้นมาอย่างไร? แล้วมันจะสิ้นสุดกระบวนการที่ไหน? แต่เริ่มต้นมามันยาวไกล แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม ในปัจจุบันนี้เราสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ ถ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์นะ จบ อนาคตไม่มี อนาคตไม่มีเพราะไม่มี นี่ไงในพุทธศาสนาสอนๆ ที่นี่

ทีนี้ของเรามันมี มันมีเพราะอะไร? เพราะมันต้องไหลเวียนไปตามผลของวัฏฏะ เพราะจิตมันเป็นอย่างนั้น อวิชชามันเป็นอย่างนั้น นี่ธรรมชาติของจิตถ้ามีแรงขับมันต้องเป็นแบบนั้น แต่เวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วมันมีแรงขับไหมล่ะ? มันเป็นพลังงานเฉยๆ พลังงาน เห็นไหม พลังงานแต่แรงขับมันดับหมด ถ้าดับหมด ดับหมดแล้วมันไปอยู่ไหนล่ะ? มันไปอยู่ไหน?

มันไปอยู่ที่มันอยู่นั่นล่ะ ถ้ามันอยู่ที่มันอยู่แล้วมันรู้ของมัน แล้วมันพอใจของมัน แต่มันก็ไม่มีสิ่งใดกดถ่วงหัวใจ เห็นไหม แต่นี้เรากดถ่วงหัวใจ ดูสิแม้แต่วันเดียว เช้า กลาง วัน เย็น ดูสิภูมิอากาศมันแตกต่างกัน ความเป็นสุข ตื่นเช้าขึ้นมาสดชื่นมาก นี่สดชื่นแล้วมันอยู่ได้ไหมล่ะ? มันต้องหาอาหารกิน วันนี้ถ้าไม่กินอาหารมันจะหิว มันจะกระหายมันต้องมีอาหารกิน เราก็ต้องทำงาน พอเราทำงาน เห็นไหม แม้แต่หยิบอาหารใส่ปากมันก็เป็นการทำงาน

ดูพระสิภัตกิจ การฉันข้าวเป็นกิจกรรมอันหนึ่ง เป็นกิจอันหนึ่ง นี่กิจของสงฆ์ กิจของสงฆ์ กินก็เป็นกิจอันหนึ่ง งานก็เป็นกิจอันหนึ่ง แล้วเวลาภาวนาทำไมไม่เป็นกิจอันหนึ่งล่ะ? เวลาภาวนา เห็นไหม เวลากินก็เป็นกิจอันหนึ่ง เวลาภาวนาก็ต้องเป็นกิจอันหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน ตื่นนอนขึ้นมา เราแสวงหาอาหารมามันก็เป็นงานเหมือนกัน เราพอใจ แต่เวลาเราทำงานของเราล่ะ? เราทำงาน เห็นไหม แม้แต่วันหนึ่งอารมณ์ของเราก็เปลี่ยนแปลงไปมหาศาล ถ้ามหาศาลนะเราก็ต้องควบคุมของเรา ดูแลของเรา ถ้ามันดูแลของเรานะ เรารักษาของเราได้

นี่เวลาเราศรัทธา เหมือนกับเริ่มออกเดินทาง เสบียงกรังเต็มไปหมดเลย แต่เวลาปฏิบัติไปแล้ว ศรัทธาแล้วมันเหนื่อยล้า ทำความเพียรไปมันมีความทุกข์ของมัน แล้วมีความวิตกกังวล แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร? ถอยหลังก็ถอยไม่ได้ ไปข้างหน้าก็จะไปอย่างไร? สิ่งนี้มันละล้าละลังไปหมดเลย นิวรณธรรม นิวรณ์ ๕ เห็นไหม ความลังเลสงสัย ความไม่แน่ใจ ความต่างๆ มันปิดกั้นหมดเลย ถ้าเราสละทิ้งชีวิตก็คือชีวิต

จิตหนึ่ง วันนี้ก็คือวันนี้ พรุ่งนี้ก็คือพรุ่งนี้ ถ้าเราไม่วิตกกังวลสิ่งใดๆ เลย เราจะทำของเรา ตั้งใจของเรา ปฏิบัติของเรา เราทำเพื่อความดีของเรา เห็นไหม นี่ทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด เวลามันสิ้นสุดแห่งทุกข์อนาคตมันไม่มี แต่นี่อนาคตมันไม่ต้องมาถึงหรอก เราไปเหนี่ยวรั้งมันมาเลย นี่เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะทุกข์จะยาก เดี๋ยวไปหมดเลย เดี๋ยวนะ มันยังไม่มาก็ยังเดี๋ยวนะ เดี๋ยวคิดไป ๑๐๐ ปีข้างหน้านู่นน่ะ เดี๋ยว.. เดี๋ยวอะไรของมัน?

นี่มันไปเหนี่ยวรั้งมาหมดเลย แล้วมันก็มากัดกร่อนเสบียงกรังของเรา มากัดกร่อนศรัทธาของเรา มากัดกร่อนความเข้มแข็งของเรา พอมันกัดกร่อนขึ้นมาแล้ว นี่พอกัดกร่อนเราก็เหลวไหล ความเหลวไหลของเรา ในใจของเรา นี่ผลของเรา

เราตั้งสติของเรานะ ทำบุญกุศลมันเป็นการกระทำ ดูสินักกีฬาว่ายน้ำ เห็นไหม กว่าเขาจะได้เหรียญทองเขาฝึกว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็กๆ นะ แล้วเขาทำเวลาของเขามาเรื่อยๆ เขาทำเวลาของเขามาจนกว่าเขาจับเวลาของเขาได้ นี่เขาถึงไปคัดเลือกตัว คัดเลือกว่าเป็นตัวแทนของชาติ สุดท้ายแล้วเขาก็จะไปแข่งในนามของชาติ

อันนี้ก็เหมือนกัน นี่การทำบุญกุศล เห็นไหม ดูสิเราฝึกจิตของเราให้มันหัดแหวกว่ายในกุศลธรรม ในกุศลไง ในการเสียสละ ในการแสวงหามา ทรัพย์สมบัติ สิ่งที่หามามันเป็นหน้าที่การงานของเรา เป็นทรัพย์สมบัติของเรา มันเป็นวัตถุที่เราเสียสละออกไป จิตใจของเรามันได้ฝึกหัด เหมือนเด็กที่มันออกไปหัดว่ายน้ำ เขาฝึกมาตั้งแต่เด็กนะ พ่อแม่นี่เขาฝึกมาตั้งแต่เด็กเลย แล้วเป้าหมายของลูกเขานี่ ทำสิ่งใดนะเขาฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ

นี่พ่อแม่เขาฝึกมา แต่นี้หัวใจเราฝึกของเราเอง ถ้าเรามีสติปัญญาเราจะฝึกได้ แล้วถ้ามีสติปัญญา เห็นไหม เราฝึกหัวใจของเราให้มันแหวกว่ายไปในบุญกุศล แหวกว่ายไปในสัจธรรม ถ้ามันเป็นไปได้นะฝึกให้มันเข้มแข็งขึ้นมา ถ้ามันเข้มแข็งขึ้นมานี่เราทำฐานของเราดีแล้ว เวลาเราภาวนาเราจะมาหัดฝึกภาวนา นี่มันจะเริ่มลงแข่งขันกับเราแล้ว ถ้าเราได้ฝึกจิตเรามาดี นี่ร่างกายเราดี เทคนิคเราดี ทุกอย่างเราดี เราสามารถจะสู้กับเขาได้ แต่ถ้าเราไม่ฝึกของเรามาดีนะ แม้แต่เป็นตัวแทนของชาติก็ไม่ได้เป็น เพราะเขามีคนที่ดีกว่าเรา

นี่ก็เหมือนกัน เราจะแหวกว่ายแข่งขันระหว่างกิเลสกับธรรมในหัวใจของเรา ถ้าจิตใจเราไม่เข้มแข็ง จิตใจเราไม่ฝึกฝนมา จิตใจไม่เคยทำมา เราจะเอาอะไรไปต่อสู้กับกิเลสของเรา แล้วเวลากิเลสของคนอื่นมันก็เรื่องของคนอื่นทั้งนั้น นี่กิเลสเห็นไหม ดูสิดูเวลาม็อบมันเกิด เห็นไหม อุปาทานหมู่ กิเลสของคนไปรวมๆๆ กันกองเท่าภูเขาเลากา เอาไม่อยู่นะ แล้วเราแยกกิเลสออกมาเป็นของเฉพาะของเรา เราจะต่อสู้กับกิเลสของเราเอง นี่เราต่อสู้กับกิเลสของเราเอง กิเลสของเราเป็นหน้าที่ของเรานะ

กิเลสคืออะไร? กิเลสคือความไม่รู้ กิเลสคือความลังเลสงสัย ไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน? แล้วอยู่ไปทำไม? แล้วอยู่ไปแล้ว ตายไปแล้วมันจะไปไหน? นี่มันไม่รู้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามาวิปัสสนา มาใช้ปัญญาของมันนะ มันต่อสู้ระหว่างกิเลสกับธรรมนะ ธรรมมันจะไปแก้ไขตรงนี้แหละ

มันรู้หมด มันรู้หมดเลยว่าที่มานี่มันมาจากไหน? แล้วมันมีบุญกุศลอะไรส่งเสริมมา มันถึงได้มีความมั่นคงในหัวใจ แล้วมีหลักในหัวใจ ดูสิโลกเขามีความเพลิดเพลินกัน เขาพยายามแสวงหา เขาแข่งขันกันทางโลก เราก็ต้องอยู่กับโลกนะ เราก็ต้องทำหน้าที่การงานเหมือนกัน แต่เราไม่แข่งขันกับโลก เราแข่งขันกับตัวเอง เพราะกิเลสเป็นกิเลสของเรา กิเลสของคนอื่นเป็นเรื่องของเขา นี่เขาจะอุปาทานหมู่ เขาจะไหลไปตามกระแสอย่างไรมันเรื่องของเขา เพราะว่ามันเป็นดุลพินิจของเขา จิตใจเขาอ่อนแออย่างนั้น ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งนี่เรื่องของเรา

เรื่องของเรา เห็นไหม แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังบอกว่า ท่านไม่สามารถชี้นำทำให้ใครเป็นพระอรหันต์ได้ ไม่สามารถทำให้ใครเป็นพระอรหันต์ได้ ท่านเป็นคนบอกทางเท่านั้น บอกทางเท่านั้น เห็นไหม ถ้าอุปาทานหมู่มันไหลกันไป ถ้าตัวเองไม่ทำมันได้อะไร? มันก็เหมือนกับฝุ่นละออง ลมพัดมันปลิวไป ชีวิตเราไร้ค่าขนาดนั้นเชียวหรือ?

ชีวิตเราไม่ใช่ฝุ่นละอองนะ ชีวิตเรามีจุดยืนของเรา จิตของเรา เห็นไหม ดูสิเวลามันทำความสงบของใจได้ มันมั่นคงดั่งกับหินผา มันมั่นคงอย่างกับภูผา หินผาที่แข็งแกร่ง จิตใจมันมั่นคงขนาดนั้น แล้วมันพิจารณาของมัน มันแยกแยะของมัน ถ้ามันแยกแยะของมัน มันแก้ไขของมัน แก้ไขๆ ระหว่างกิเลสกับธรรม

กิเลสของเรา ความสงสัยของเรา ความกังวลของเรา นี่เวลาคนอื่นเขาจะสดชื่นแจ่มใสขนาดไหนมันก็เรื่องของเขา แต่ถ้าความวิตกกังวลของเรา เราจะแก้ไขของเรา ถ้ามันแก้ไข เห็นไหม จากทาน ศีล ภาวนา จากทานการเสียสละ เสียสละให้จิตใจเราปลอดโปร่ง เราจะแหวกว่ายไปในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตนี้แหวกว่ายเข้าไป

แต่เวลาถึงที่สุดนะ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ จิตนี้แหวกว่ายเข้าไป จิตนี้ก็ไปขวางอยู่นั่นไง จิตนี้ก็ไปเป็น.. นี่ว่าเรือนว่างๆ แต่เราไปขวางอยู่ไง นี่พอมันแหวกว่ายเข้าไป เพราะเราแหวกว่ายเข้าไปในประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม เวลามันประพฤติปฏิบัติมันต้องมาทำลายจิตนี้ ทำลายให้ไม่มีตัวตนของมันไง ทำลายไม่ให้มันไปกีดขวางวัฒนธรรมของใคร ไม่ให้ไปกีดขวางกิเลสของใคร

มันจะทำลายตัวมันเองเพื่อไม่ให้กิเลสตามตัวมันทัน ถ้าไม่มีตัวตนกิเลสมันจะไปจับอะไร? ไม่มีเหล็ก สนิมมันจะเกิดจากไหน? ไม่มีสิ่งใด สิ่งใดมันจะเกิดขึ้นมาได้ ถ้ามีหัวใจ มีภวาสวะ มีภพ นี่กิเลสมันตะครุบเอา ตะครุบเอา เราก็บอกว่าไม่มี ว่าง ว่างหมดเลย ไม่มีอะไรเลย อู้ฮู.. มีความสุขมาก กิเลสมันหัวเราะเยาะอยู่นะ มันเคี้ยวกินอยู่เรายังว่าไม่มีอะไรนะ แต่ถ้าเรามีธรรมของเราขึ้นมา เรามีปัญญาของเราขึ้นมา เราแก้ไขของเรา เราทำของเราไป เรารู้เราเห็นของเราหมดเลย เห็นไหม พอเรารู้เราเห็นขึ้นมาแล้วนี่ แล้วมันสงสัยไหมว่าชีวิตนี้มาจากไหน? แล้วเกิดมาทำไม? ตายแล้วไปไหน? นี่ตายแล้วไปไหน?

มนุษย์ก็รู้กันด้วยร่างกาย ด้วยความเห็นของวัตถุ ถ้าหัวใจก็ด้วยคลื่นไฟฟ้า แต่ถ้าเป็นการประพฤติปฏิบัติเข้าไป เห็นไหม เวลาจิตเป็นสมาธินะ อืม.. นี่มันเป็นอย่างนี้เอง เวลาออกวิปัสสนานะ อ๋อ.. แต่เดิมไม่เป็นแบบนี้ แต่เดิมเวลาคิด เวลาต่างๆ มีเราบวกเข้าไปตลอดเวลา เวลามันคิดอย่างนี้เหมือนกับเราควบคุมไม่ได้เลย แต่! แต่มีสติปัญญามันควบคุมของมัน มันทำของมัน ฝึกหัดของมัน จากหลุดไม้หลุดมือมันจะควบคุมของมัน มันจะพัฒนาของมัน แล้วมันมีสติปัญญาของมัน

นี่มันเริ่มเดินมันจะชอบธรรมไปหมด สติชอบ งานชอบ เพียรชอบ สมาธิชอบ ปัญญาชอบ ทุกอย่างชอบธรรม ความชอบธรรมกับความชอบธรรมมันรวมตัวกัน มรรคสามัคคีมันรวมตัวสามัคคีแล้วชำระความไม่รู้ ความวิตกกังวล ชำระขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป นี่เรารู้เราเห็น แล้วสงสัยไหม?

นี่ไงมันหายสงสัยเพราะเราจัดการตัวเราเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเราทำให้ใครเป็นพระอรหันต์ไม่ได้หรอก แต่เราบอกทาง เราเป็นคนชี้นำ เราเป็นคนบอกทาง เพราะเป็นผู้บุกเบิกมา เป็นศาสดาของเรา เห็นไหม เราสาวก สาวกะ เป็นผู้เดินตาม คำว่าเดินตามยังเดินตามด้วยความตาบอด ถ้าเราเดินตามด้วยความมั่นใจของเรา เดินตามของเรา

ศรัทธาความเชื่อ ออกเดินทางเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เวลาเดินไปแล้วมันใช้สอยไป มันด้วยความทุกข์ความยากไป ศรัทธาร่อยหรอไปจนเราจะล้มลุกคลุกคลาน ถ้าตั้งสติดูหัวใจเรา เวียนตายเวียนเกิดมาชาตินี้ นี่เกิดมาศรัทธาเต็มเปี่ยมมาตั้งแต่เป็นทารก เป็นมนุษย์สมบัติ แล้วโตขึ้นมา มีสติปัญญาขึ้นมาขนาดนี้ แล้วเราทำไมไม่ค้นคว้าอริยทรัพย์ ทรัพย์ในพุทธศาสนาไง

พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทรัพย์มันจะเกิดจากผู้รู้ พุทธะๆ มันจะเกิดที่หัวใจของเรา หัวใจของเราจะซับอริยทรัพย์อันนี้ไป แล้วจะเป็นสมบัติที่มั่นคง ไม่มีใครมาฉกฉวย ไม่มีใครมาแย่งชิง ไม่ต้องจดลิขสิทธิ์ที่ไหน ไม่มีใครจะมาก๊อบปี้ได้ ถ้าเขารู้ของเขาขึ้นมาก็จะเป็นสมบัติของเขา เห็นไหม ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ของใครของมัน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนะ บอกว่า

“อานนท์ เราไม่ได้เอาธรรมของใครไปเลย เราไม่ได้เอาของใครไปเลย ต่างคนต่างเอาไป จิตดวงนั้น จิตทุกดวงนั้นสามารถสำเร็จลุล่วงไป แล้วจะไม่มีอนาคต”

เห็นไหม มาจากอดีต มาอยู่ปัจจุบัน อนาคตไม่มี จบ แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัตินะ อนาคตมันกวักมือเรียก มันไม่เรียกเราก็ไปเหนี่ยวรั้งมันมา เมื่อนั้นจะทุกข์ เมื่อนั้นจะทุกข์ แล้วปัจจุบันไม่ได้ดูนะ เราแก้ไขที่นี่ หิวกินที่นี่ ไม่ใช่ไปกินอีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า หิวกินที่นี่ แล้วจะอิ่มที่นี่ จบที่นี่ เอวัง